วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อะไหล่ใจเหงา

w,jfewoaf อ้าว อ่านไม่ออก อ่านออกก็เทพหล่ะ ว่างๆ ข้าจะกลับมาทวงบัลลังก์ 555+ บัลลังก์เกรียน...

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Sek Loso is my idol


- Click here for the funniest movie of the week



In Thailand, the best guitar player is Sek loso (Sekson Sukphimay) who was born in Nakhornrachasrima. His songs touch my deep heart already. He is the favorite artist not only in Thailand but around the world also. Now Sek Loso released more 12 albums and the new latest album is Sek Loso that I listened to the album already. The favorite song in my view of the latest album is Ya Yom Phae (Don’t wave the white flag) that inspires me to fight continue. Now he will show a concert at Impact Arena Mueng Thong Thani on June 20, 2009 that names 12 years Sek Loso Jai Sung Ma. We will be funny together.






ความรักคืออะไร



ห่างหายกันไปหลายวัน ที่ผมไม่ได้เข้ามาเขียน เหตุผลก็เนื่องจากว่า ไม่มีหัวข้อจะเขียน บวกกับ ยังไม่มีกะจิตกะใจจะที่จะเขียนบรรยาย มาวันนี้ไม่รู้ผมเกิดโรแมนติกอะไร อยากจะเขียนเรื่อง “ความรัก” โดยอุปนิสัยส่วนตัวแล้ว เป็นคนไม่ค่อยสันทัดหรือมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวความรักมากมายหรอก ชีวิตที่ผ่านมา 20 กว่าฝน เคยรักเป็นมาครั้งสองครั้ง แต่ทุกครั้งก็กินแห้วมาตลอด มีอยู่ประโยคหนึ่งในเรื่อง มังกรหยก ภาคจอมยุทธ์อินทรีย์ ตอนเอี้ยก๊วย กล่าวกับ เซียวเล่งนึ้ง (มังกรน้อย) ว่า “ รักกันแล้วไม่ได้ครองเคียงคู่กัน ในโลกนี้จะมีอะไรเศร้ากว่านี้อีก” เมื่อมองในมุมกลับกัน รักกันแล้วได้เคียงคู่กัน ในโลกนี้คงมีความสุขไม่น้อย

นิยามของความรัก

หากจะถามนิยามของความรักแต่ละคน ก็คงจะมีมุมมองแตกต่างกันออกไป แล้วแต่คนจะประสบและรับรู้สัมผัสถึงความรักในทางที่สมหวังหรือผิดหวัง

บางคนก็ว่า “รัก คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด”

บางคนก็ว่า “ รัก คือ บ่อเกิดของกิเลส”

บางคนก็ว่า “รัก คือ ความรุ้สึกดีๆที่มีภายในใจแล้วใช้ใจส่งความรู้สึกนั้นให้อีกฝ่ายหนึ่ง(ผู้ที่จะรับความรู้สึกนั้นได้ต้องใช้ใจเท่านั้น”

บางคนก็ว่า “รักคือโลกแห่งมายาอันไร้ตัวตน”

บางคนก็ว่า “ความรักคือการแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้แก่กัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ มีแต่คำว่าเรา”

ถ้าจะนำคน 10 คนมาให้นิยามความรัก ผมเชื่อแน่เลยว่า คงไม่มีเหมือนกันสักคน ก็เพราะความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องที่เราจะสามารถเข้าใจด้วยตัวเราเอง

ถ้าจะถามผมว่า ความรักคืออะไร? ก็คงจะตอบว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามและไม่สวยงามในสิ่งเดียวกัน ราวกับว่า มันพร้อมที่สุขและทุกข์ได้เสมอ เปรียบเช่นกับ เมื่อรักหวานช่ำ ก็เหมือนกับท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสดใส แต่ถ้าหากว่าหม่นหมอง ทุกข์ใจเมื่อไหร่ ฟ้าแห่งความรักกลับกลายเป็นสีเทาทันที

ผมได้เจอบทกลอนที่ประพันธ์ไว้และให้แง่คิดได้ดีเลยทีเดียวเกี่ยวกับ ความรักคืออะไร ไว้ดังนี้
ความรัก

คือ น้ำผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ

คือ หยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม

คือ เกษร ดอกไม้ คือไฟรุม

คือ ความกลุ้ม ความฝัน นั่นแหละรัก

กลอนที่หยิบยกไว้เบื้องต้น แสดงให้เห็นว่า ความรักมีอยู่สองด้าน คือ ด้านดีและด้านไม่ดี แต่จะเห็นได้ว่า ด้านดีมีมากว่าด้านไม่ดี

รูปแบบของความรัก

John Lee เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ The colors of love ว่าความรักมีอยู่ 6 ชนิดด้วยกัน

1. Eros เป็นความรักที่มีความใคร่ และปรารถนาจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวกับบุคคลที่รัก รวมทั้งประสบการณ์กับบุคคลที่รักอย่างสมบูรณ์

2. Mania เป็นความคลั่งไคล้หลงใหลและเรียกร้องหาบุคคลที่รัก ถ้าผิดหวังมักวิตกกังวลและปวดร้าว

3. Ludis เป็นความรักที่มีอัตตาสูง มองความรักเป็นเสมือนเกมที่ต้องเอาชนะ

4. Storage เป็นความรักฉันท์เพื่อน แล้วกลายไปสู่ความรักแบบคู่รัก

5. Agape เป็นความรักที่มีแต่ความอดทนให้อภัยและการให้

6. Pragma เป็นความรักที่มีเหตุผลซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการไตร่ตรองแล้ว

รูปแบบของความรักที่ (จอห์น ลี) John Lee ได้กล่าวไว้ ผู้เขียนขออธิบายเพิ่มเติมไว้ดังนี้

Eros เป็นความรักของหนุ่มสาวที่มีเป้าหมายเพียงกามารมณ์ ความรักประเภทนี้จะประเล้าประโลมด้วยสเน่ห์ทางร่างกาย และสุดท้ายก็หนีไม่พ้นตัณหา มองเพียงความสวยงามสุดท้ายก็เลิกกันเพราะเมื่อหมดความงามแล้ว ก็หมดเยื่อใยความรักไปด้วย

Mania เป็นความรักที่หวงแหนเห็นแก่ตัว มองความรักเป็นเพียงสิ่งสนองกิเลส หึงหวงเกินขอบเขต วุ่นวายกับคนรักจนล้ำเส้น เมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ทำทุกวิถีทางให้ได้มา อย่างเช่นมีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ล่าสุดก็มีการทำร้ายร่างกายคนรักของคนตนเอง โดยมองแค่เพียงว่า “ เมื่อข้าไม่ได้ก็อย่าคิดว่าใครจะได้เธอไปครอง” แทนที่จะเป็นฝ่ายครอบงำความรักกลับถูกความรักครอบงำ ถ้าเปรียบกับวิทยายุทธ์หนังจีนก็คงฝึกวิชาจนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ความรักแบบนี้ เป็น ความรักแบบทำลาย และนำไปสู่จุดจบแห่งโศกนาฏกรรม และการฆ่าตัวตายในที่สุด ที่เห็นฆ่ากันตาย

Ludis เป็นความรักแบบเล่นๆ เห็นเป็นแค่เกมส์การแข่งขัน ที่มองอีกฝ่ายคือตัวทำแต้มเท่านั้น ไม่ได้จริงจัง ใครทำแต้มได้เยอะ คนนั้นได้ชื่อว่า “ราชันย์แห่งความรัก” คนพวกนี้จะมีความรักง่ายหน่ายเร็วไม่ชอบผูกพันธ์ เล่นไปเรื่อยๆ เจอใครสวย ใครหล่อถูกใจก็รักทันที หนึ่งในวลีที่ถูกขับขานเป็นเสียงเพลงโดย วิด ไฮเปอร์ คงจะเป็นตัวแทนแห่งความหมายของ Ludis ได้ดีเป็นอย่าง เนื้อหาในเพลงกว่าว่า

“ไม่ใช่ผู้ชายข้างทาง สว่างก็จะชิ่งกัน
เจ็บปวดกับความสัมพันธ์ สำคัญแค่ตอนดับไฟ
ไม่ใช่ผู้ชายชั่วคราว จบข่าวก็จบเยื่อใย
หมดแม๊กก็แยกกันไป มาฆ่าให้ตายเลยดีกว่า”


ทุกวันนี้คำว่าคาสโนว่า (หญิงใช้คำว่า คาสโนวี่) นั้นเป็นที่นิยมของเหล่าคนเจ้าชู้ จึงใช้กับความรักประเภทนี้ได้เป็นอย่างดี ความรักที่มองเป็นเพียงเกมส์การเล่นนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะหยุดความรักเพียงแค่สัมพันธ์ข้างคืน สนุกแค่เพียงข้ามคืน ยิ่งเลวร้ายกว่านั้นก็เป็นผลแห่งโรคร้ายติดตัวมาด้วย

Storage เป็นความรักที่มีความสนิทสนมกัน ความรักแบบนี้เกิดจากการทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยๆ จากที่เคยรู้จักมักคุ้นกันแค่เพื่อน ก็ได้ผันจากมิตรภาพเพียงแค่คำว่าเพื่อน เลื่อนตำแหน่งสู่ความรักแบบคู่รัก

Agape ความรักประเภทนี้เป็นความรักแบบจริงใจ เข้าใจกันเทความจริงใจให้แก่กันและกัน เมื่อมีปัญหาบาดหมางกัน ไม่เข้าใจหรือลงรอยกันก็ให้อภัยกัน พูดกันด้วยเหตุผล ไม่ได้พูดกันด้วยอารมณ์ถือเป็นความรักที่ควรให้แก่และกันเป็นอย่างยิ่ง

Pragma เป็นความรักที่มองดูใจกัน ศึกษาใจกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นศึกษาทรรศคติ นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน ความรักประเภทนี้จะเปรียบเหมือนกับต้นไม้ที่งอกงามไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ซาเหมือนสายฝน มีเหตุผลเป็นพื้นฐานของการศึกษาดูความรัก หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “รักแท้” ก็ได้ ความรักประเภทนี้ย่อมประกอบด้วย ความรู้สึกรัก อ่อนโยน อบอุ่นเป็นมิตร รู้จักการเสียสละ เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ มีความผูกพันทางอารมณ์ นั่นหมายถึง ความห่วงหาอาทร มีเยื่อใยไมตรีต่อกัน มีความสนใจ ดูแลเอาใจใส่ทุกข์สุข ฟูมฟักเลี้ยงดู มีการให้คำมั่นสัญญาต่อกัน ในการปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย รู้จักให้อภัยต่อกันในความผิดพลาด และเปลี่ยนความผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน มีการพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ สังคม และปรารถนาให้คนที่เรารักมีการพัฒนาเจริญเติบโต ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

ความรักในมุมมองของนักปรัชญา

ความรักในทรรศนะของนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงได้ให้ความหมายที่แตกต่างกันอออกไป จึงขอหยิบยกมาไว้เป็นตัวอย่างดังนี้

เดส์คาร์ตส์กล่าวว่า

“ความรักคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากมิตรภาพระหว่างเพศ”

กิลเบอร์ดก็พูดไว้ว่า

“ความรักคือสวนดอกไม้ที่ต้องรดด้วยน้ำตาแทนน้ำ”

เชคสเปียร์พูดว่า

“ความรักมักจะทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวกระวนกระวายแสวงหาความจริงแท้ว่า “ความรักคืออะไร” แต่ครั้นรู้ความจริงแล้วก็พลันสำนึกได้ว่าเป็นธรรมดาโลกเรานี้เอง”

เพลโต้บอกว่า

“ความรักเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่ร้ายแรง “

เฟิร์ล เอสบัคกล่าวว่า

“ความรักไม่อาจจะบังคับโลมเล้าหรือยั่วยวนให้เกิดได้ มันเป็นสิ่งที่สวรรค์บันดาลให้โดยมิได้ขอร้องและมิได้แสวงหาแม้แต่น้อย”

ความรักในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์

นิวตัน

“มนุษย์จะคงสภาพความรักของตัวเองไว้
คนที่มีความรักก็จะยังคงรักตลอดไป
คนที่ไม่มีรักก็จะไม่รักใครตลอดไป
จนกว่าจะมีแรงดึงดูดที่ไม่เท่ากับ0
มาทำให้คนตกหลุมรัก”


ไอสไตน์

“เมื่อเราเข้าใกล้คนที่เรารัก
เราจะรู้สึกว่าเขารักเรามากขึ้น
แต่ถ้าเราเคลื่อนที่ออกจากคนที่เรารัก
เราจะรู้สึกว่าเขารักเราน้อยลง
นี่แหละสัมพันธภาพ”


คูลอมบ์

“ความรักแปลผกผันกับระยะห่างยกกำลังสอง
ยิ่งอยู่ห่างกันมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ความรักลดน้อยลงเท่านั้น
ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด”


สตีเฟน ฮอร์คิง

“ที่สภาวะ Singularity ภายในหลุมดำ
ความรักมีความหนาแน่นเป็นอนันต์
แต่จะมีขนาดความรักเล็กลงจนเหลือแค่ความผูกพัน”



ความรักในมุมมองของนักจิตวิทยา
[1]

นักจิตวิทยาได้แบ่งประเภทของความรัก ตามหลักจิตวิทยา ไว้ดังนี้

1. Passionate love เป็นความรักแบบเสน่หา เป็นความเร่าร้อนทางกาย และทางใจ และสื่อถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศ เช่น ความรักของวัยรุ่น หรือคนหนุ่มสาว ต่างต้องการอยู่ใกล้ชิดแนบสนิทกัน

2. Companionate love เป็นความรักที่พัฒนามาเป็นความรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยอาจจะมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือไม่มีก็ได้ มีลักษณะของการเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง มุ่งประโยชน์ต่อคู่ของตน เช่น คู่ตายายที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ที่เราเรียกว่า Poppy Love หรือสามีภรรยาที่อยู่กินกันมานาน และต่างมีความเป็นผู้ใหญ่ และครองชีวิตคู่ได้อย่างปกติสุข เป็นต้น

ความรักในมุมมองของศาสนา

พุทธศาสนา ได้แบ่งประเภทของความรักไว้ 4 ประเภท ดังนี้
[2]

1. เสน่หา (สิเนหะ) เป็นความรักพื้นฐานประเภทแรกที่ทุกคนมี ซึ่งหมายถึง กิเลส ตัณหา เป็นความรัก ความหลง ตามความต้องการของตนเองในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ดังเช่น วัยรุ่น หรือคนหนุ่มสาว ที่เมื่อมีความรักต่างก็พึงพอใจในรูปร่างหน้าตา กลิ่นน้ำหอมที่ติดผิวกาย เสียงที่ไพเราะ พูดจาอ่อนหวานภาษาดอกไม้ และมีคำพูดออดอ้อนต่อกัน ตลอดถึงการสัมผัสแตะเนื้อต้องตัว ควงแขน โอบกอดกัน เป็นต้น ความรักประเภทนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นรักแท้ มักไม่จีรังยั่งยืน และเป็นความรักชนิดที่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของ หรือเรียกว่า เป็นฝ่ายรับมากกว่าเป็นผู้ให้ ต่างต้องการการตอบสนองต่อความต้องการของกันและกัน หากไม่ได้ตามที่ตนต้องการก็จะเป็นทุกข์ และอาจแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังกันได้

2. ความรักแท้ (เปมะ) เป็นความรักที่พัฒนามาจากความรักขั้นพื้นฐาน จะแสดงออกถึงการเห็นคุณค่าของคนที่เรารัก ดังเช่น ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักแท้ย่อมปรารถนาที่จะเห็นบุคคลอันเป็นที่รักมีความสุข เจริญเติบโตและก้าวหน้า

3. ความเมตตา เป็นความรักแบบปราศจากเงื่อนไข รักและให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นความรักแบบบริสุทธิ์ใจ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ดังเช่น พระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสละความสุขส่วนพระองค์มาปฏิบัติบำเพ็ญตนจนบรรลุสัจธรรมชีวิต

4.ฉันทะ เป็นความรักที่มีความพอใจ ไม่ว่าจะพอใจในรูปร่าง ประทับใจในความดีต่างๆ เป็นต้น

ศาสนาคริสต์ ถือว่าความรักคือสิ่งสูงสุด คือทุกสิ่ง คือพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้า พระเจ้าคือความรัก หลักความรักของศาสนาคริสต์


ศาสนาคริสต์สอนให้รักครอบครัว รักเพื่อนมนุษย์ ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่า
[3]

"เรารักพวกท่าน เช่นเดียวกับที่พระบิดาทรงรักเรา ฉะนั้น จงยึดมั่นในความรักของเรา ถ้าท่านเชื่อฟังคำสั่งสอนของเรา ท่านก็ย่อมจะยึดมั่นในความรักของเรา เช่นเดียวกับที่เราเชื่อฟังคำสั่งสอน ของบิดาของเรา และยึดมั่นใน ความรักของพระองค์"

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้มนุษย์ยึดมั่นในความรัก นอกจากนี้ศาสนาคริสต์ยังสอนให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตน ซึ่งเพื่อนบ้านในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่ อยู่บ้านใกล้กัน แต่รวมไปถึงคนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าตามท้องถนนหรือแม้กระทั่งศัตรูก็ตาม ดังคำสอนที่ว่า "จงรักศัตรูและอวยพรแก่ผู้ที่แช่งด่าท่าน จงทำคุณแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอวยพร ให้แก่ผู้ประทุษร้ายเคี่ยวเข็ญท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรม และอธรรม" ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า หลักความรักในศาสนาคริสต์นั้น มิได้หมายถึงอารมณ์ความรู้สึก เช่นชายหญิงรักกัน แต่หมายถึงความเมตตา กรุณา เสียสละ และการให้อภัย ศาสนาคริสต์สอนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า จึงควรรักกันเสมือนพี่น้อง และควรให้ความรัก แก่ทุกคนแม้กระทั่งศัตรู

ศาสนาอิสลาม
[4]

ความรักมีอยู่ 4 แบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องให้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างมัน และได้มีผู้ที่หลงทางเพราะว่าพวกเขาไม่อาจแยกแยะมันออกจากกันให้เห็นชัดได้

ความรักแบบแรก คือ รักอัลลอฮฺ แต่ความรักนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะช่วยให้บุคคลนั้นรอดพ้นจากการลงโทษของอัลเลาะฮฺ และจะได้รับรางวัลจากพระองค์ พวกมุชริกีน ผู้บูชาไม่กางเขน ยิว หรือกลุ่มอื่นๆ ทั้งหมดนั้นก็รักอัลเลาะฮฺทั้งสิ้น

ความรักแบบที่สอง คือ รักสิ่งที่อัลลอฮฺรัก นี่คือสิ่งที่นำบุคคลนั้นมาสู่อิสลามและออกจากการเป็นกุฟรฺ กลุ่มชนซึ่งเป็นที่รักที่สุดของอัลเลาะฮฺคือกลุ่มชนผู้ซึ่งขัดเกลาตนเองที่สุดและอุทิศตัวที่สุดในความรักแบบนี้

ความรักแบบที่สาม คือ รักเพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็นแก่นอย่างหนึ่งของความรักในสิ่งที่อัลลอฮฺรัก ดังนั้น ความรักของคนๆหนึ่งต่อสิ่งที่อัลลอฮฺรักจะไม่สมบูรณ์จนกว่าเขาจะรักเพื่ออัลเลาะฮฺด้วย
ความรักแบบที่สี่ คือ รักบางสิ่งเคียงคู่ไปกับอัลลอฮฺ ความรักนี้จะนำไปสู่การกระทำพร้อมมีชิรกฺ(การตั้งภาคี) ทุกคนที่รักสิ่งอื่นเคียงคู่กับอัลลอฮฺแต่ไม่ได้รักเพื่ออัลลอฮฺนั้น ถือว่าได้นำสิ่งนั้นมาเป็นเทียบเคียงคู่กับอัลลอฮฺ นี่เป็นความรักของพวกมุชริกีน

ความรักในแบบที่ห้า เป็นความรักที่ไม่มีให้หัวข้อของเรา ก็คือ ความรักแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นความรักความชอบที่ตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติของเขา


จากมุมมองของความรักทั้งในเรื่องของนักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา และศาสนา ก็มีมุมมองของความรักที่มีทั้งเหมือนและต่างกันออกไป รวมความก็คือ ความรักก็เหมือนกับมีดสองคมที่จะมาทำร้ายเราก็ได้ถ้าหากเราปล่อยให้ความรักอยู่เหนือการควบคุมจนกลายเป็นความลุ่มหลง แต่ถ้าเราสามารถควบคุมและบังคับความรักให้ไปในทางทิศทางใดทิศทางหนึ่งเมื่อนั้นแหละคุณจะพบกับความสุขในความรัก









แหล่งอ้างอิง

[1]อ. ชนาภา วินิจวัฒนาวงษ์ อาจารย์ประจำศูนย์บริการนักศึกษา มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
[2] เรื่องเดิม
[3] จากหนังสือเรียนสังคมฯ ม.1, ม.2 (อจท.)
[4] โดย อัลลามะฮฺ อิบนุ กอยยิม อัล เญาซียะฮฺ

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คนที่ไม่มีโอกาสคือคนที่ตายแล้ว



โอกาสเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราเป็นอย่างมาก เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คนที่ประสบความสำเร็จก็คือคนที่ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ฟรานซิสต์ เบคอน (Francis Bacon) ได้กล่าวเอาไว้ว่า "A wise man will make more opportunities than he finds. คนฉลาดมักจะหาโอกาสมากกว่าที่เจอ” คำพูดของฟรานซิสต์ เบคอน ได้แสดงให้รู้ว่า นอกจากโอกาสที่เราเจอแล้ว เราควรหาโอกาสอีกด้วย

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๕ โอกาส แปลว่าช่อง, ทาง, เวลาที่เหมาะ, จังหวะ

Oxford Student’s Dictionary of English ได้ให้ความหมายของโอกาสว่า “A chance to do something that you would like to do. (ช่องทางที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณอยากจะทำลงไป)”

เพราะฉะนั้น โอกาส หมายถึง ช่องทางหรือจังหวะเวลาที่เหมาะสมสำหรับทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป

โอกาสมีอยู่ทุกหนทุกแห่งและทุกจังหวะของคนเราทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะคว้าโอกาสนั้นไว้หรือไม่ เหมือนกับมีคำกล่าวว่า คนที่ไม่มีโอกาสคือคนที่ตายแล้ว ในมุมมองของผู้เขียนเองมองว่า โอกาสเปรียบเหมือนสายลมอันบริสุทธิ์ที่พัดผ่านมาหาเรา เมื่อมันพัดผ่านมาแล้วก็รีบสูดลมหายใจนั้นเข้าสู่ร่างกาย โอกาสก็เช่นเดียวกันเมื่อมันเข้ามาหาเราก็รีบไขว่คว้า หรือไม่ปล่อยให้หลุดมือไปและพร้อมที่จะนำโอกาสนั้นมาสร้างประสบการณ์ชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้อ่าน fwd mail ที่เกี่ยวกับโอกาสจึงขอหยิบยกมาไว้เป็นตัวอย่าง

ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่ คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา

"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"

"ฉันชื่อโอกาส"

"ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา"

"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"

"ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"

"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"

"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"

"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"

"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"

"ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"

"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"

"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"

จริงด้วย ทางด้านหน้าของ "โอกาส" มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง เพราะเมื่อปล่อยให้ "โอกาส" ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก "โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า "อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง ให้รีบตัดสินใจ ให้ลงมือทำ ให้ออกแรง ให้สู้ เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง ที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย

อีกสักตัวอย่างหนึ่งเพื่อให้ผู้อ่านได้มั่นใจมากยิ่งขึ้น ว่า “โอกาส” มีความสำคัญอย่างไรต่อการดำเนินชีวิตของคนเราและมองโอกาสคือเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่

ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก็ถามขึ้นมา ว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาโอกาสเจอได้ไงคับ

อาจารย์บอกผมหน่อยได้ใหม คับ?

อาจารย์ : (เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากน่ะ

ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันน่ะ

ลูกศิษย์ : (นั่งคิดอย่างหนัก) อืม? . . . งงอ่ะไม่เข้าใจ

อาจารย์ : โอเค งั้นเธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ใหม เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นน่ะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ยะ เธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวน่ะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจใหม

ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ อาจารย์ รอสักครู่น่ะครับ (ว่าแล้วก็วิ่งตรงไปยังสนามหญ้า)

หลังจากนั้นไม่นาน. . .

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจารย์

อาจารย์ : อืม . . แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวยๆ ในมือเธอเลยหล่ะ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจารย์ ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆเนี่ยผมก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีมันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับจะเดินกลับก็ไม่ได้ เพราะจารย์สั่งห้ามไว้

อาจารย์: นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดในชีวิตจริงหล่ะ

เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา บางอย่าง

ต้นหญ้า ก็คือ โอกาสที่อยู่รอบๆตัวคุณ

ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ โอกาสที่มาหาคุณนั่นแหละ

ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลาที่คุณจะหาโอกาส อย่ามัวแต่เปรียบเทียบหรือรอจังหวะแล้วคิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้เพราะถ้าคุณมัวแต่เปรียบเทียบคุณก็จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า "เวลาไม่เคยย้อนกลับ"

จะสังเกตเห็นได้ว่า โอกาส ไม่ได้มีบ่อยครั้งมากนัก โอกาสเป็นสิ่งที่คนเราไม่สามารถจะบอกหรือรู้กาลล่วงหน้าว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ในทุกๆครั้งของโอกาสที่ผ่านไป เราก็ได้แต่ตอกย้ำตัวเองว่า ถ้าวันนั้นเราได้คว้าโอกาสนั้นมาไว้และใช้มันให้เป็นประโยชน์เราก็คงไม่ต้องมานั่งผิดหวังอย่างนี้

หลักการปฏิบัติเกี่ยวโอกาส

1.พร้อมสำหรับโอกาส บางครั้งในการทำอย่างใดอย่างหนึ่งเราต้องรอ เพื่อโอกาสที่ดี เช่นการจะทำนา ต้องรอ ดิน ฟ้า อากาศ ให้เหมาะสม โอกาสก็เช่นเดียวกัน แม้มันยังมาไม่ถึง เราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมไว้เสมอ ดั่งที่มีคำกล่าวว่า “จงเตรียมพร้อมสำหรับโอกาส ถึงแม้จะยังไม่มี ก็ยังดีกว่าเมื่อโอกาสมาถึงแต่เราไม่ได้เตรียมพร้อม”

2.สร้างโอกาส มีภาษิตไทยกล่าวไว้ว่า “บ่อน้ำไม่เคยวิ่งมาหาควาย มีแต่ควายวิ่งมาหาบ่อน้ำ” คนเราจะรอโอกาสวิ่งเข้ามาหาอย่างเดียวไม่ได้ แน่นอนเลยว่า หลายท่านอาจจะขาดโอกาส แต่คำว่า ขาดโอกาส ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีโอกาส นั้นก็หมายถึงว่า หากขาดโอกาสก็ควรหาโอกาสโดยใช้ฝีมือและความรู้ที่เรามีหาโอกาสนั้น

3.พลิกวิกฤติเป็นโอกาส คำนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันอย่างดี หลายคนมีปัญหาที่มารุมเร้าเยอะมาก ยากที่จะมาสร้างโอกาส แค่แก้ปัญหาก็หมดเวลาในการสร้างโอกาส ดังเช่นตัวอย่างของ พระเจ้าจันทรคุปต์ ปู่ของพระเจ้าอโศก นำทัพไปรบกู้บ้านกู้เมืองแพ้ พอแพ้ขึ้นมาหนีไปอยู่ที่ริมกระท่อมชาวนา หมดกำลังใจ ได้ยินเสียงเด็กร้อง แม่ก็ตีเด็ก ซ้ำเข้าไปอีก แล้วก็ด่าว่า "เอ็งมันโง่ โง่เหมือนพระเจ้าจันทรคุปต์ ใครเขากินขนมเบื้องกันตรงกลางหล่ะ ไปกินตรงกลางมันก็แข็งสิ มันต้องกินที่ขอบก่อนสิ พระเจ้าจันทรคุปต์ได้ยินดังนั้นก็คิดได้ขึ้นมาว่าเราควรจะนำยาตราทัพไปตีเมืองเล็กๆก่อนค่อยไปตีกลางใจเมือง สุดท้ายก็ชนะได้สำเร็จ เรื่องนี้ก็บ่งบอกถึงว่า พระเจ้าจันทรคุปต์พลิกวิกฤติเป็นโอกาส แม้สถานการณ์จะตกเป็นฝ่ายแพ้ แต่ก็นำมาสู่ความชัยชนะได้


วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ประโยคเด็ดหนังจีน


หนังจีนเป็นหนังที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำลังภายใน การแต่งตัว วัฒนธรรมต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องคำพูดที่แฝงปรัชญาให้ผู้ชมได้นำไปคบคิด วันนี้ก็เลยอยากจะนำประโยคเด็ดจากหนังจีน มาให้ได้อ่านกัน (มีคนมาอ่านป่าวไม่รู้)


" เจ้ารู้ไหม ว่าเพื่อเจ้าแล้ว ข้าได้ตายไปแล้วหนหนึ่ง
เจ้ารู้ไหมว่าเพื่อเจ้าแล้ว ข้าเกือบต้องตายทั้งตระกูล
เจ้ารู้ไหมว่าเพื่อเจ้าพี่ชายข้าถึงต้องตายไป
เจ้ารู้ไหมว่าเพื่อเจ้า ข้าต้องยอมเป็นคนบาปของเผ่า
เจ้ารู้ไหมว่าเพื่อเจ้า ข้าถูกอ๋อง 7 บังคับให้แต่งงาน
แต่ข้าไม่ยอม..เพราะคนที่ข้ารักก็คือ เจ้า "
(มินมิน)

จะฆ่าไก่ ใยต้องใช้มีดฆ่าโค
(จากสามก๊ก)

ถ้าไม่ให้ข้าคิดถึงท่าน แล้วจะให้ข้าคิดถึงใคร
(เอี้ยก้วย)

คิดถึงพบพรากจรจากไปในคําคืนนี้ปวดใจนัก
(ก๊วยเซียง)

คิดถึงก็ไร้ค่า ยังต้องพลัดพราก เวลาถูกกำหนด เจ็บปวดรวดร้าวไร้ความหมาย ได้แต่วิญญานล่องลอย คอยหวั่นฝนซาฟ้าสาง
(เอี้ยก้วย)

เพลงกระบี่ที่ไร้ผู้ต่อต้านแขนงหนึ่ง มิใช่อยู่ที่อำนาจการฆ่าฟัน มีแต่เมตตาธรรมจึงไร้ผู้ต่อต้าน
(โก้วเล้ง)

ขนาดแผลที่มือท่าน ท่านยังไม่มีปัญญาจะลบ แล้วแผลที่ใจข้า ท่านจะให้ข้าลบมันได้ยังไรกัน
(มินมิน)

จงเป็นสุภาพบุรุษในบ้าน แต่เป็นสิงห์ร้ายในสนามรบ

สุราในมือเจ้า แม้มันจะไม่ช่วยให้เจ้าหาคำตอบ แต่มันก็ทำให้เจ้าลืมคำถาม

แม้นเป็นม้าที่แก่ชราอยู่ในคอก ยังมีเจตจำนงคิดที่จะวิ่ง

สัตว์เลื้อยคลานอาจเปลี่ยนสี แต่ไม่อาจเปลี่ยนนิสัย

100คนรักไม่เท่า1คนภักดี

ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร

เหล็กที่ว่าแข็ง เงินง้างให้งอได้ดั่งใจ

เลี้ยงทหารพันวันใช้เพียงแค่ครั้งเดียว

ถ้าม้าพยศ ต้องให้มันอดอาหาร ถ้ามันยังพยศอีกก็หวดด้วยแส้ ถ้ามันยังพยศอีกก็ตีด้วยท่อนเหล็ก ถ้ามันยังพยศอีกก็ไม่เอาไว้ ในเมื่อมันพยศ ไม่เลิกเลี้ยงไป รังแต่จะเปลืองหญ้า

ท่านไม่สามารถครองอาณาจักรบนหลังม้าและหอกดาบไปได้ตลอด

หากท่านยอมรับความอบอุ่นจากแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ท่านจะต้องยอมรับกับพายุและฝนฟ้าคะนองด้วย

เงินซื้อสุนัขได้ แต่ไม่อาจซื้อการกระดิกหางของมัน

มีเพียงสุนัขเท่านั้นที่จะภักดีต่อคุณโดยไม่มีเงื่อนไข

สุนัขที่บ้านมักเก็บความลับได้ดี ถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ใจก็สามารถระบายให้มันฟังได้ รับรองว่ามันจะไม่เอาไปบอกต่อ

โปรดคิดก่อนที่จะให้ผู้อื่นมีหน้าที่รักษาความลับให้กับคุณ เพราะตัวคุณเองยังไม่สามารถรักษามันไว้กับตัวคุณได้ แล้วคุณจะไว้ใจคนอื่นได้อีกหรือ

เหล็กดีไม่ใช่ทำตะปู คนดีมีฝีมืออย่าได้ใช้เป็นทหาร

นกสวยย่อมถูกจับไส่กรง

สนทนากับปราชญ์เพียงชั่วโมงเดียว ดีกว่าคบคนโง่เป็นเพื่อนถึงสิบปี

เป็นศิษย์อาจารย์เพียงวันเดียว แต่เหมือนเป็นพ่อไปชั่วชีวิต

บุคคลที่เห็นว่าตัวเองไม่มีจุดอ่อน นั้นคือจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงที่สุดของเขา

ความรักบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีแต่น้ำมิตรจึงลึกล้ำเพราะเกิดจากการสั่งสม

การมีชีวิตอย่างทีคุณค่าถือว่ายากลำบาก แต่ตายอย่างมีคุณค่ายิ่งยากกว่า

ความรักคล้ายสุรา เก็บซ่อนยิ่งนาน กลับยิ่งเข้มข้นยิ่งรุนแรง

จอมยุทธ์ที่แท้ มิใช่วิทยายุทธ์ไร้ผู้ต่อต้าน และมิใช่มีคุณูปการ เลิศภพจบพสุธา หากทว่า จิตใจบรรจุไว้ซึ่งแผ่นดิน สามารถค้นพบ ผู้รู้ใจในชีวิต

สงครามสร้างนักรบ ยุทภพสร้างผู้กล้า

ทองแท้ไม่กลัวไฟ คนดีมีฝีมือไม่กลัวอุปสรรค

บ่อน้ำใสมักเหือดแห้งก่อนบ่อน้ำขุ่น

กบในบ่อไฉนจะรู้ความสวยงามของท้องทะเล

หากคิดแต่จะเดินตามรอยเท้าคนอื่น สุดท้ายท่านจะไม่มีรอยเท้าของตัวเอง

หากไม่ละจากกิเลสต่อให้มีผ้าเหลืองหุ้มสิบชั้นก็ไร้ค่า

เรือที่ปลอดภัยคือเรือที่จอดอยู่ในท่าแต่เรือไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อจอดอยู่ในท่า

รักกันไม่สู้รู้ใจกัน

ถ้าไม่กล้าออกจากฝั่งก็ไม่มีวันเห็นความสวยงามของท้องทะเล

พื้นทะเลที่ราบเรียบไร้คลื่นลมไม่เคยสร้างนักเดินเรือที่เชี่ยวชาญ

อัญมณีมีค่าล้วนมาจากดิน นำมาผ่านการเจียระไนจึงจะงาม

ถ้าคิดว่าทำได้ต่อให้ย้ายภูเขาถมทะเลสุดท้ายก็ทำได้ แต่ถ้าคิดแต่ว่าทำไม่ได้ต่อให้ง่ายแค่พลิกฝ่ามือก็ไม่มีวันทำได้

ฟ้าไม่เคยเข้าข้างคนอ่อนแอ

แพ้พ่ายไม่ท้อแท้ พ่ายแพ้มีวันพลิกผัน

ไม่เข้าถ้ำเสือ มีรึจะได้ลูกเสือ

เวลาในเมืองใหญ่เดินเร็วกว่าบนยอดเขาเสมอ

แมวหึกเหิมก็มิอาจสู้เสือที่ป่วยหนักได้

เพชรพลอยนั้นหาง่าย ผู้ชายจริงใจนั้นหายาก

ขึ้นหลังเสือเเล้ว ลงยาก

ขึ้นขี่หลัเสือต้อง มั่นใจว่าบังคับมันได้

ความรักพันผูกชั่วดินฟ้า สายใยผูกพันแม้สิ้นใจ

โบราณกล่าวไว้ว่า หญิงงามมักคู่กับชายหล่อ หญิงสอพลอมักคู่กับยาจก

หากว่าไม่อยากให้รู้ ไม่สู้อย่าได้ทำ

เรื่องความรักของคนสองคน ใยต้องให้คนตายมาตัดสิน

ความรักนั้นเหมือนเกสรดอกไม้ เข้าปากนั้นหวานนานไปนั้นขม

มันผู้ใดบังอาจทำให้ข้าเสียใจชั่วครู่ มันผู้นั้นต้องเสียใจไปชั่ว ชีวิต

วัยรุ่นมักเอาชีวิตแลกเงิน วัยชรามักเอาเงินแลกชีวิต

ผู้ที่อยู่เหนือคนได้ ต้องรู้จักเคารพอ่อนน้อมต่อคนทุกคน

อยู่ฟ้าเป็นนกร่วมผกผิน.....อยู่ดินเป็นไม้ร่วมกิ่งก้าน

ที่จริงอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญแค่ได้อยู่กับเจ้า ข้าก็ดีใจแล้ว

มนุษย์ทุกคนต่างมีความคิด อยู่ที่ว่าคิดแล้วจะทำหรือไม่ ถ้าไม่ทำ.....ก็ถือว่าไม่ได้คิด

เพียงเพื่อบัลลัง พี่น้องฆ่ากันเหมือนกับไม่ใช่คน คนเราเกิดมาอยู่ได้ไม่กี่10ปี จะแย่งชิงอำนาจบนเลือดเนื้อของคนนับหมื่นนับแสนทำไม

การศึกษาธรรมไม่ต้องอยู่ในวัด ขอเพียงรู้ผิดรู้ชั่วก็พอ คนที่ใจบาปต่อให้ห่มจีวรก็ไม่มีคุณค่า

ส่งไกลแค่ไหนก็ต้องจากกัน

ตัวข้าท่องยุทธภพชั่วชีวิต เกลียดที่สุดประเพณีคล่ำครึ ข้าจะทำอะไร ไม่สนใจกรอบของชาวโลก

ลำธารไหลริน ไผ่เขียวสะพรั่ง บุรุษเชิงชาย ดั่งหยกที่ตัด

คำว่ามิตรภาพ ไม่ได้เรียนรู้ด้วยปัญญา แต่เรียนรู้ด้วยใจ

จะดีหรือร้ายก็ไม่สำคัญ รักแท้ไม่มีสิ่งขวางกั้น ขอแค่เราสองคนรักกันก็พอ

เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน

พายุจะแรงกล้าเพียงใด ภูผามิอาจจะลู่ตามลม

สองเราผูกพันคู่เคียงฟ้า สายใยคงมั่นแม้สิ้นใจ

ต่อหน้าศัตรูกี่แสน ... ข้าหาได้เกรงกลัวไม่ ต่อหน้านางผู้เลอโฉม ... ข้ากลับกลัวหัวใจตนเอง...

ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้ (หมายถึงยกได้ ก็วางได้ แหะๆ)

รอยขาดของเสื้อผ้าเย็บปะได้ แต่บาดแผลในหัวใจมิว่าผู้ใดก็ไม่อาจเย็บสมาน

อยู่กับเพื่อนรู้ใจ เหล้าร้อยไหก้อไม่เมา อยู่กับสาวถูกใจ เหล้าร้อยไหก้อไม่เอา

ชีวิตที่ว่าสำคัญ ทว่าเพื่อความรัก ข้าสละได้แม้ชีวิต แต่เพื่อชาติแล้ว ข้าสละได้ทั้งความรักและชีวิต

โกหกเพียงครั้งเดียว ถูกสงสัยตลอดกาล

คบหากันเพราะรูปโฉม ความงามร่วงโรย ความรักก็สลาย

การกล่าววาจากระทบผู้อื่น เหมือนคมมีดกรีดหัวใจ

ปัจจุบันละเลยเรื่องเล็กน้อย ภายหน้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง

คนต้องมีกิริยาสุภาพ ดุจดอกไม้ต้องมีกลิ่นหอม

ความหวั่นกลัวเป็นอุปสรรคการสร้างคุณธรรมทั้งมวล

ยุทธภพก็คือยุทธภพ มิมีวันใดที่ยุทธภพสงบสุข เพราะยุทธภพมีแต่การเข่นฆ่าและการนองเลือด มีขาวมีดำ มีธรรมะ มีอธรรม มีความจอมปลอมและความเที่ยงแท้ สิ่งเหล่านี้ยากนักจะสิ้นสุดในยุทธภพ

สองเราผูกพันคู่เคียงฟ้า สายใยคงมั่นแม้สิ้นใจ

สุดยอดของความเคลื่อนไหว คือ ไม่เคลื่อนไหว สุดยอดของคำกล่าว คือ ไม่กล่าว สุดยอดของกระบวนท่า คือ ไร้กระบวนท่า

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

นกน้อยยังรู้จักหาไม้ใหญ่ทำรัง คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย

ถ้าข้าไม่ได้ อย่าคิดว่าใครจะได้ไป

หากฟ้าจะพรากเราจากกัน ข้านี้จะขอแยกฟ้าออกจากตะวัน


ปิดท้ายจ้า เฮ้อเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน. ."ดอกไม้สวยย่อมโดนเด็ดเร็ว ผู้หญิงสวยมักมีเจ้าของ"









จุดประกายชีวิต




"มันไม่ใช่ความล้มเหลว เพียงแค่ค้นพบว่านั่นเป็นอีก 1 วิธีที่ทำไม่สำเร็จ"

คำพูดที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมาไว้ข้างต้น คงเป็นคำพูดของใครไม่ได้นอกจากเป็นคำพูดของบุคคลที่ฝากผลงานทางวิทยาศาสตร์ไว้แก่โลกอย่างมากมาย ด้วยผลงานการประดิษฐ์ (invention) ซึ่งจดสิทธิบัตรไว้มากกว่า 1,000 ชิ้น เขาผู้นั้นคือ โทมัส เอดิสัน (ชื่อเต็ม Thomas Alva Edison)เขาผู้นี้ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร ไลฟ์ ( life) ว่าเป็น "100 คนที่สำคัญที่สุดในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา"

แน่นอนเลยว่าชีวิตของเขาก่อนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากมายและเป็นบุคคลสำคัญของโลก เขาต้องนำพาชีวิตที่ผ่านคลื่นมรสุมแห่งความยากลำบากต่างๆนาๆ

ชายคนนี้เคยนำความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง ด้วยการทดลองเกี่ยวกับไฟ ทำให้เกิดไฟไหม้ และถูกบิดาทำโทษต่อหน้าสาธารชน

ชายคนนี้เคยถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากที่เข้าโรงเรียนได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ด้วยเหตุผลทีว่าเขาไม่สนใจในบทเรียน ถามแต่เรื่องนอกบทเรียน และเคยถูกอาจารย์ด่าว่า เป็นเด็กหัวทึบ

ชายคนนี้มีปัญหาทางประสาทรับรู้ทางเสียง เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ

ชายคนนี้ ไม่ได้รับอนุญาติให้มีห้องทดลองบนรถไฟอีก เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุบนห้องทดลองในรถไฟ

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ความล้มเหลวในหลายๆครั้ง ไม่ได้ทำให้เขาล้มเลิกหรือขาดความมั่นใจในความตั้งใจที่เขาต้องการอยากจะทำเลย มีแต่จะเพิ่มและก็เพิ่ม

สิ่งที่ผู้เขียนเห็นได้ชัดจากความสำเร็จของเขานั้นก็คือ การมองความล้มเหลวเป็นเชิงบวก แทนที่จะมองความล้มเหลวเป็นศัตรูหรือเป็นอุปสรรค ดังเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในการทดลองเพื่อคิดค้นหลอดไฟซึ่งเป็นผลงงานประดิษฐ์ชิ้นสำคัญของเขา เมื่อผู้ช่วยของเอดิสัน กล่าวกับเขาว่า "เราทำการทดลองมาแล้ว เจ็ดร้อยครั้ง แต่เรายังไม่มีคำตอบ เราล้มเหลวเสียแล้ว" แต่เอดิสันกลับตอบว่า "เปล่าหรอก เรายังไม่ล้มเหลว เรารู้มากกว่าใครๆในโลกในเรื่องนี้และเรายังรู้อีกว่ามี เจ็ดร้อยวิธีที่ไม่ควรทำ อย่าเรียกว่า ความผิดพลาด แต่ให้เรียกว่า เป็นการเรียนรู้"

โทมัส เอดิสัน ได้ฝากข้อคิดให้ได้เรียนรู้ว่า คำว่าอัจฉริยะในความคิดของผม ประกอบด้วยพรสวรรค์เพียง 1% ส่วนอีก 99% มาจากความพยายาม

จะเห็นได้ว่า การมองความล้มเหลวเป็นเหมือนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แน่นอนเลยว่า คนส่วนมากจะเรียนรู้ว่า สิ่งนี้ควรทำ ควรปฏิบัติ แต่ลืม เรียนรู้ว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ ไม่ควรปฏิบัติ

แน่นอนเลยว่า ความล้มเหลว ก็คือ การทำอะไรที่ไม่ได้ตรงตามความต้องการตามที่ปราถนาเอาไว้ คนเราทุกคนเกิดมาก็ล้วนต้องการพบกับความสำเร็จ และไม่ได้ต้องการพบความล้มเหลวหรืออุปสรรค แต่ถึงไม่ต้องการยังไง พวกนี้ก็คืบคลานมาหาก่อนจะพบความสำเร็จเสมอ หลายคนเมื่อพบแล้วก็รู้สึกท้อใจ ผิดหวัง ไม่กล้าที่จะเผชิญ ไม่รู้ที่จะแก้ไข ก็เลยต้องล้มเลิก แต่ทว่า เขามองความผิดหวังเป็นการเรียนรู้ แทนที่จะมองเป็นความผิดพลาด เหมือนกับ โทมัส เอดิสัน สักวันคุณต้องก้าวพ้นความล้มเหลวนั้นเป็นแน่. . .

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ก้าวไปสู่ความสำเร็จ



ชีวิตคนเราทุกคนที่เกิดมา ล้วนเลือกเกิดไม่ได้ทั้งนั้น บางคนก็เกิดมาในท่ามกลางที่โปรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ อยากได้ พ่อแม่ก็ซื้อให้ แต่บางคนเกิดมาในครอบครัวที่ยากไร้ แร้นแค้น หาเช้ากินค่ำ ยิ่งไปกว่านั้น บางคนต้องอดมื้อกินมื้อ พอประทังชีวิตไปวันๆ ถึงอย่างไรก็ตาม เราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้


คำว่า "เลือกที่จะเป็น" ในที่นี้หมายถึงการสร้างตัวหรือการถีบตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่เราหวังเอาไว้ ซึ่งหนทางที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จนั้นมีปัจจัยดังนี้


1.ความหวัง (hope) ความหวังเป็นพลังแห่งชีวิต ที่พลักดันให้เราก้าวสู่ต่อ ถึงแม้การเลือกเกิดเราไม่มีสิทธิ์ แต่การเลือกทางชีวิตเป็นสิทธิ์ของเรา ดังนั้น ความหวังเป็นเหมือนแสงตะเกียงที่คอยส่องทางก้าวไปตามสู่ความสำเร็จ

2.ความพยายาม (will) สุภาษิตไทยที่เป็นที่คุ้นหูเราเป็นอย่างดี ก็คือ "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น " ( Where there is a will, there is a way) ความพยายามนี้ ทุกคนเกิดมานั้นมีไม่เท่ากันอยู่ที่การอบรมและการเรียนรู้ บางคนก็พยายามแค่ 1 ปี บางคน 10 ปี บางคนก็ 20 ปีแต่ขอให้เชื่อเถอะว่า หากเราได้พยายามลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว ปลายทางความพยายามของเรากำลังจะก้าวถึงต้นทางแห่งความสำเร็จ

3. เป้าหมาย (gold) เป็นเหมือนแรงบันดาลที่ผู้คนต้องการจะไขว่คว้า ก่อนจะลงมือทำสิ่งใดก็ตาม ก็ควรตั้งเป้าหมายเอาไว้ ตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าหมายเอาไว้ในตอนเรียน ระดับอุดมศึกษา ว่าจะต้องเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หรือในขณะที่เรียนจะต้องไม่เรียนให้ติด f หรือจะตั้งเป้าหมายเป็นเทอมๆ ก็ได้ว่า แต่ละเทอมเราจะเอา A กี่ตัว เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ความหวังเป็นเหมือนกุญแจตัวแรกที่จะไขไปสู่ประตูความสำเร็จ แต่ความสำเร็จต้องอาศัยความพยายามและเป้าหมาย ถ้าหากว่ามีเพียงแค่ความหวังอย่างเดียว ป่านนี้คงไม่ต้องมีคนผิดหวัง เพราะหวังอย่างเดียวก็สำเร็จ