ในยุคที่เรียกว่า การสื่อสารที่ไร้พรมแดน สื่อจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะโน้มน้าวกระแสมวลชนที่จะเบี่ยงเบนความคิดไปในทางใดทางหนึ่ง ตอนนี้ ความเป็นจริงต่างๆ ถูกบิดเบือนไปตามความคิดของแต่ละคน ตามความเชื่อของแต่ละคน ทั้งๆที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่หากถูกแบ่งแยกเป็นสอง โดยอคติ และ ความเชื่อมั่น
การบริโภคสื่อเป็นปัจจัยหลักที่ทุกคนจะต้องได้รับไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งนี้สิ่งได้รับจะถูกหรือผิดก็อยู่ที่ดุลพินิจของการพิจารณาของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะทุกวันนี้ สื่อ เป็นสิ่งที่สำคัญของการรับรู้ข่าวสาร อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้กล่าวไว้ว่า "If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed. ""หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"
นักสื่อสาร นักจิตวิทยา ต่างศึกษาจิตใจของผู้คน และกระแสของมวลชน จนสรุปว่า
การ propaganda (ไทยแปลศัพท์ว่า โฆษณาชวนเชื่อ) เป็นต้นเหตุของความผิดเพี้ยนทางความคิดทั้งปวงแน่นอนว่า นักจิตวิทยาและนักสื่อสารบางส่วนนำผลสรุปนี้ไปใช้ประโยชน์ สร้างระบบจิตวิทยามวลชน อุปาทานหมู่ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
หลักการโฆษณาชวนเชื่อ อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่
1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัวและคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์
2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสำนวนไทยว่าไว้เข้าทีว่า "น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน" แล้วใจคนอ่อนๆจะทนได้อย่างไร เมื่อนำคำลมปากกรอกหูเข้าทุกวัน
3. Big Lie : โกหกคำโต การโกหกเรื่องเล็กๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย
4. Name calling : สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู เป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง
5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ ผู้โฆษณาชวนเชื่อ ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายธรรมะ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที
6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี
7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน การบอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี....
ยิ่ง ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก และยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า "ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้ล่ะ"
การโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่างและน่ากลัวกว่าการโฆษณาและชักจูงตามปกติ เพราะมันอาจจะทำให้ตรรกะของคุณบิดเบี้ยวโดยคุณไม่รู้ตัว...
ดั่งที่กล่าวมาข้างบนจะเห็นได้ว่า propaganda เป็นตัวการหลักที่เป็นเหมือนกำแพงมาปิดกั้นความจริง ที่คนบางคนจะเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ได้ไตร่ตรองมาก่อน
เพราะฉะนั้นถ้าหากไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือสีใด สีหนึ่ง เมื่อกระบวนการของการสื่อสารได้ถ่ายโอนมาสู่ถึงขั้นดุลพินิจพิจารณก็อยู่ที่ตัวบุคคลจะสามารถแยกแยะออกได้หรือไม่ สมเด็จพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัส สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า
อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อโดยปราศจากการพินิจพิจารณาและ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้บริโภคสื่อจะต้องนำมาคิดและไตร่ตรองก่อนจะเชื่อและมั่นใจว่าในสิ่งที่ตนเข้าใจนั้นถูกต้องหรือไม่ ?
ดังนั้นสังคมไทยที่ขัดแย้งเฉกเช่นทุกวันนี้ ก็เพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายปฏิปักษ์เป็นคนผิด ในความคิดส่วนตัวผมมองว่าทุกฝ่ายต่างก็ทำถูกและทำผิด ที่ถูกก็คือทุกฝ่ายต่างก็ประกาศอุดมการณ์ว่าจะทำเพื่อประเทศชาติ และที่ผิดก็คือต่างฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญที่กำหนด ไม่ได้นำหลักนิติรัฐมาควบคุมหรือไม่สามารถที่จะควบคุมได้
ถึงอย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งใน 3-4 ปีมานี้ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียอย่างเดียว ในทางตรงกันข้าม ผมมองเห็นว่า หลายคนได้รู้จักคำว่า สิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เข้าใกล้ประชาธิปไตย รวมถึงมีส่วนร่วมและมีความกระตือรือร้นในการช่วยกันเสนอแนวคิดและแนวทางการไขให้เป็นไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เกิดจากความเห็นที่แตกต่างขั้นรุนแรงจนนำไปสู่การขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่างของแต่ละฝ่าย ซึ่งเราได้เรียนรู้ประชาธิปไตยในภาคปฏิบัติ อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ทว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี การแสดงออกทางความคิดครั้งนี้ จึงเป็นการเข้าร่วมลงทะเบียนเรียนในภาคปฏิบัติของวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อขับเคลื่อนประเทศชาติเข้าสู่อารยประเทศ แม้ว่าจะมีการสูญเสียขึ้นมาก็ตาม แต่เป็นการสูญเสียที่มีการได้มาซึ่งกำไร
ทว่า หลายคนมองว่า การขับเคลื่อนครั้งนี้ มีการสูญเสียมากกว่าการได้มา แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ถึงความถูกต้องจากความผิดพลาด